วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

(TH trans) Chansung's Interview from TenAsia Mag (Part1)

2PM ชานซอง การเดินทางของ “ช่วงเวลาที่แท้จริง” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

Q: มาให้สัมภาษณ์ทันทีหลังจากกลับจากเข้าร่วมงาน MAMA ไหนจะตารางโปรโมทภาพยนต์ทับซ้อนกับ 2PM World Tour อีก เคยคิดไหมว่าจะมีตารางงานที่ยุ่งแบบนี้ในการใช้ชีวิตช่วงวัยยี่สิบกว่าๆ

CS : ไม่เลยครับ (ยิ้ม) ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นแบบนี้


Q: การใช้ชีวิตที่แสนยุ่งนี้ทำไปเพื่ออะไรกันนะ เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต? เป็นงานที่ชอบ? หรือว่าเพราะว่าเป็นตารางงานก็เลยต้องทำ?

CS: ผมคิดว่างานของผมทุกงานมีความหมายครับ เพราะหากไม่คิดแบบนั้นมันจะกลายเป็นการทรมาณร่างกายและก็จะเหนื่อยครับ และเพราะคิดว่า งานนี้เป็นเป้าหมายของชีวิตผมยิ่งทำให้ผมจริงจังกับงานครับ


Q: หมายความว่า “อาชีพนักร้อง เป็นเส้นทางที่ฉันจะต้องเดินไปให้ได้” เพิ่งรู้สึกว่าคำนั้นมันลึกซึ้งเอาก็ตอนนี้เหรอ

CS: ถ้าจะให้ถูกเรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่คิดว่าความคิดนั้นมันถูกต้อง มันใช่มากกว่าครับ ผมเดบิ้วมา 9 ปีแล้ว (ในฐานะ 2PM คิดเป็น 7ปี) 9ปีที่ผ่านมามีเรื่องมากมายเลยครับ เวลาที่ร่างกายล้าก็จะมีความคิดแง่ลบประดังประเดเข้ามาครับ อย่างตอนที่เสียใจก็เคยคิดว่าพวกพี่สต้าฟ “คนเหล่านี้เค้ามาทำงานเพื่อผมจริงๆเหรอ” เหมือนกันครับ จนเมื่อถึงเวลาหนึ่ง, ก็รู้ว่าไอ้ความกังวลเหล่านั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรครับ ความคิดแง่ลบทั้งหลายเหล่านั้นเป็นยาพิษที่เกาะกินตัวผมด้วยซ้ำ หลังจากรู้ตัวว่าได้รับอิทธิพลที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิต มุมมองต่อเรื่องต่างๆของผมก็เปลี่ยนไปมากเลยครับ


Q: ถึงแม้จะรู้ตัวว่าการคิดแง่ลบไม่ได้ให้ประโยชน์อะไร แต่การเปลี่ยนแปลงความคิดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ มันมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปได้ยังไงนะตอนนั้น

CS: ที่บริษัทมีอาจารย์หมอที่คอยดูแลด้านสุขภาพจิต (Mental Care) อยู่ครับ Mental Care จะคอยดูแลตั้งแต่เด็กฝึก พนักงาน ครอบครัว JYP ทุกคน, ผมนั้นตั้งแต่ก่อนเป็นคนมองโลกในแง่ดีอยู่แล้วครับ วันที่เจออาจารย์หมอครั้งแรก, ผมได้ตอบ Check List ประเมินสภาพจิตใจตัวเองครับ ทันทีที่เห็นใบ Check List ของผม “ช่วงนี้มีความสุขกับงานสินะ” “ใช่ครับ” “ไม่มีความไม่พอใจเนอะ?” “ครับ” “ก็ไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษ และ ถ้าสนใจด้านจิตวิทยาล่ะก็ ลองมาเรียนด้วยกันไหม” ท่านบอกอย่างนี้ ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ได้เริ่มต้นเรียนด้านจิตวิทยากับอาจารย์ครับ เรียนมาได้สามปีแล้วครับ


Q: ที่ว่ามีความสนใจด้านจิตวิทยาสูง สนใจเรื่องของคนอื่นหรืออยากรู้เกี่ยวกับตัวเองกันล่ะ

CS: ทั้งสองอย่างครับ ปกติผมเป็นคนที่ชอบถามตัวเองบ่อยๆครับ “ทำไมผมทำตัวอย่างงั้นไปนะ” “ทำไมตอนนั้นถึงได้คิดอย่างงั้นไปนะ” ถามหาคำตอบของความกังวลเหล่านั้นวนไปวนมาครับ เป็นอยู่อย่างงั้น จนได้รับฟังคำแนะนำจากอาจารย์หมอ และก็ได้อ่านหนังสือที่ได้รับการแนะนำมาจากท่าน ก็ทำให้จัดแจงความคิดที่ยุ่งเหยิงนั้นได้ครับ


Q: เวลาเข้าหาคนอื่นก็สบายใจขึ้นนิดหน่อยไหม เข้าถึงจิตใจของคนอื่นด้วยไหม

CS: ผมยังไม่ถึงขั้นที่จะเข้าถึงจิตใจของคนอื่นได้ครับ แต่ว่าก็เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่าก่อนครับ เช่น สมมติว่าใครสักคนทำอะไรที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวมากๆ ผมคิดว่าถ้างั้น “คนๆนั้นก็คงจะได้รับการปลอบด้วยสิ่งเหล่านั้นด้วยละมั้ง” (คนแปล – น้องชานคงจะหมายถึงได้รับมาอย่างไรก็ติดมาเป็นนิสัยละมั้งคะ เช่นพ่อแม่เลี้ยงเรามายังไง เราก็ติดนิสัยเหล่านั้นไปใช้กับคนอื่นต่อ.... คิดว่าน่าจะอย่างงั้นนะคะ แปลเองงงเอง ขออภัยค่ะ) 


Q: เพิ่งมาเข้าใจลึกซึ้งว่า “งานนี้คืองานที่ฉันจะต้องเดินทางต่อไป” 1,2ปีที่ผ่านมานี้เอง ถ้าอย่างงั้น ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าอาจจะไปทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่นักร้องก็ได้?

CS: ผมไม่เคยมีความคิดแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนั้นคิดว่าแค่ขยันทำงานไปเหอะเท่านั้นเอง ตอนนี้มันต่างไป คิดว่างานที่ผมทำอยู่ตอนนี้เนี่ย มันมาถูกทางแล้วครับ


Q: เส้นทางที่ว่านั้นก็คงจะมีเรื่องของการแสดงด้วย, จริงๆแล้วเริ่มเป็นนักแสดงก่อนนักร้องอีกนะ

CS: ใช่ครับ เรื่อง High Kick


Q: ล่าสุด ภายในช่วงเวลาสองเดือนก็มีภาพยนต์เรื่อง Red Carpet กับ ห้าพี่น้องด๊อกซูรี ความใส่ใจไม่ค่อยเยอะ ก่อนหน้านี้ก็มีภาพยนต์เรื่องอื่นๆเปิดตัวด้วย, อาจจะรู้สึกเสียดาย หรือไม่ก็ตรงข้ามคือดีไปเลย ของเราเป็นยังไง
CS: หลังจากข้าราชการระดับ 7(2013)จบลง ในปีเดียวกันช่วงปลายฤดูร้อนก็เริ่มถ่ายทำ Red Carpet ครับ จากนั้นไม่นานก็ถ่ายทำห้าพี่น้องด๊อกซูรี จริงๆแล้วไม่รู้เลยว่าภาพยนต์สองเรื่องนี้จะเปิดตัวในเวลาใกล้ๆกัน เพราะการเปิดตัวถูกเลื่อนออกไป ก็คิดว่า “ปีนี้คงจะไม่ได้ฉายละมั้ง” พอภาพยนต์ทั้งสองเรื่องเปิดตัวเลยโล่งใจมากครับ 


Q: ภาพยนต์เรื่องแรก Red Carpet เป็นแทยุน น้องเล็กในทีมสต้าฟถ่ายทำภาพยนต์ผู้ใหญ่ และห้าพี่น้องด๊อกซูรีก็แสดงเป็นพี่น้องคนที่สี่ซูกึนผู้ไม่เคยท้อถอย ตัวละครทั้งสองตัว มีมุมที่ตลกและก็ดูเด็กๆ ส่วนตัว(ของคนถาม)แล้วถ้าคิดว่าคาแรคเตอร์มันต่างกันจะเป็นยังไงนะ

CS: ผมก็ใส่ใจกับจุดนี้เหมือนกันนะครับ เพราะคนจะคิดได้ว่า “โอ้ เขาแสดงเหมือนๆกันนะ” ถ้าได้ยินคำวิจารย์เหล่านั้นคงจะรู้สึกเจ็บใจไม่น้อยครับ คนรอบๆตัวก็ไม่มีใครพูดว่าการแสดงของผมดูขาดนะครับ (หัวเราะ) ผมกำลังพยายามรับฟีดแบคที่ชัดเจนอยู่ครับ


Q: สมมติถ้าต้องเลือกระหว่าง “สิ่งที่ชอบ” กับ “สิ่งที่ทำได้ดี” จะเลือกอย่างไร

CS: ถ้าทั้งสองอย่างอยู่ด้วยกันก็คงจะดีสุดๆเลยครับ, ถ้าจะต้องเลือกแค่อย่างเดียวจากสองอย่างคงจะเลือก “สิ่งที่ชอบ” ครับ มีตัวแปรครับ เป็นข้อต่างของ การตั้งอยู่บนความตั้งใจของคนอื่นแล้วทำได้ดี กับการตั้งอยู่บนความตั้งใจของตัวเองแล้วทำได้ดี ถ้าหากมีสิ่งที่ตั้งอยู่บนความตั้งใจของผมแล้วทำได้ดี ก็จะเลือกสิ่งนั้นครับ ผมมองว่าการทำสิ่งที่ชอบเป็นงานอดิเรกย่อมดีกว่าครับ


Q: เป็นคำตอบที่ชัดเจนนะ แล้วการแสดงเป็น “สิ่งที่ชอบ” หรือ “สิ่งที่ทำได้ดี” กันล่ะ

CS: การแสดงเป็นสิ่งที่ผมชอบ และเป็นสิ่งที่ผมอยากทำครับ ยังไม่รู้หรอกครับว่าเป็นสิ่งที่ได้ดีหรือเปล่า (หัวเราะ)


Q: เป็นคนมีความต้องการ(ทะเยอทะยาน)สูงหรือเปล่า

CS: ผมมีความทะเยอทะยาน แต่ไม่มีความอยากเอาชนะ


Q: เป็นพอยด์สำคัญเลยนะ ทำไมไม่มีความอยากเอาชนะล่ะ

CS: สามารถพูดต่อจากคำพูดเมื่อสักครู่ได้เหมือนกันนะครับ, ความคิดที่ว่า “ต้องทำให้ดีกว่าคนอื่น ผลถึงจะออกมาดี”นั้น จะทำให้ตัวผมพัง ไม่ใช่ผมเท่านั้นที่ขยัน แต่ไม่ว่าใครก็ตาม หากแต่ละคนใช้วิธีของตัวเอง และทำให้ดีที่สุด เราจะสามารถเอาชนะได้ คิดว่าแบบนั้นมันน่าจะถูกมากกว่าครับ จริงๆแล้ว ผลนั้นเอามาเปรียบกับความพยายามไม่ได้หรอกครับ


Q: นั่นน่ะสิ, เปรียบกันไม่ได้หรอก

CS: ไม่มีอะไรรับรองว่าการพยายามจนตายจะประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าทุกครั้งต้องพยายาม แค่หมายถึงว่าไม่ต้องไปคาดหวังกับผลมากเท่านั้นเองครับ


Q: นี่เข้าใจโลกเร็วไปหน่อยหรือเปล่า อายุเพียงแค่ 25 ปี แต่เข้าใจถ่องแท้ได้ขนาดนี้ (หัวเราะ)

CS: โอ้ย! อย่างงั้นอีกแล้ว (หัวเราะ)


Q:ในแง่ของจิตวิทยา มีมุมมองยังไงให้จิตใจเราแข็งแรง หมายถึงตอนที่รู้ว่าขยันยังไงก็ไม่เป็นผล

CS: ยอมรับมันสิครับ


Q: ถ้ายอมรับก็เหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงได้?

CS: ผมคิดอย่างนี้นะครับ นักแสดง นักร้อง ศิลปิน ต่างมีสีของตัวเองติดตัว อาชีพเหล่านั้นเป็นอาชีพที่เผยให้เห็นว่า “ฉันเป็นคนแบบนี้แหละ” ช่วงเวลาที่คนเหล่านั้นเปล่งประกายที่สุดนั้น คงจะเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนมองเห็นสีประจำตัวเหล่านั้น หากช่วงเวลานั้นไม่มา แล้วท้อใจหรือโทษตัวเองว่าไม่มีความสามารถ ถ้าคิดงั้นก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องที่น่าเศร้ากว่านี้ได้


Q: ยังไงก็ตาม สังคมวงการบันเทิง เป็นที่ๆต้องการความอยากเอาชนะนะ

CS: ใช่ครับ หลายๆคนไปสูงขึ้น สิ่งสำคัญคือไม่หวั่นไหวไปกับความรื่นเริงจนเกินไป


Q: ก่อนเป็นนักร้องคุณเป็นคนยังไง

CS: เคยเล่นเทควันโด้มาก่อนครับ เคยเล่นกีฬาฟันดาบ(ไม้ไผ่)อยู่แป๊บๆ สมัยเด็กไม่มีความฝันที่ชัดเจนครับ ทำไมสมัยประถมไม่ถามว่า “ลองเขียนความฝันตัวเองดูสิ” ตอนนั้นไม่เคยเขียนว่าความตั้งใจของผมเป็นยังไงเลยครับ ถ้าเพื่อนบอกว่า “ฉันจะเป็นประธานาธิปดี” ล่ะก็ “ฉันด้วย จะเป็นประธานาธิปดี”, ถ้าหากเพื่อนบอก “ฉันจะเป็นนักวิทยาศาสตร์” ผมก็ “ผมด้วย, เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วย” จะเขียนตามๆไปแบบนั้นล่ะครับ ยังไงก็ตาม การที่สมัยเด็กๆ ทุกคนฝันจะเป็นประธานาธิปดี, นักวิทยาศาสตร์ มันไม่แปลกเหรอครับ?


Q: ต้องเลิกการเรียนแบบท่องจำเนอะ

CS: ตอนนั้นผมไม่คิดว่ามันแปลกหรอกครับ ตอนนี้ถึงได้คิด ว่าเออ ผมแปลกจริงๆแหละ (หัวเราะ)


Q: เป็นน้องเล็กของวง น้องเล็กแบ่งได้สองแบบใหญ่ๆ เพราะเป็นน้องเล็กเลยทำตัวซนๆ เด็กๆ หรือ เพราะไม่ชอบให้ใครมองว่าเป็นน้องเล็กเลยทำตัวค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ ตัวเองเป็นแบบไหนกัน

CS : ไม่ใช่ทั้งสองแบบครับ บรรยากาศของวงเหมือนเพื่อนกันครับ มินจุน(จุนเค) แทคยอน พี่คุณ พวกเขาไม่เคยทำแบบ “เพราะฉันเป็นพี่ ฉันเลยต้องจัดการนาย” พวกเราเหล่าน้องเล็กก็ไม่เคยพูดประมาณว่า “เพราะผมเป็นน้องนะ” อะไรแบบนี้เลยครับ แน่นอนว่า ในการเข้าหาคนต่อคนต้องมีการรักษามารยาท เรารักษามาตรฐานนั้นไว้และใช้ชีวิตเหมือนเพื่อนกันอยู่ครับ

(จริงๆบทสัมภาษณ์นี้มีต่อภาคสอง เจอกันภาคหน้าค่ะ)

TH Trans by Chansungstation
ที่มา http://tenasia.hankyung.com/archives/398294

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น