วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

(แปล) 2PM's Twitter 2015.01.01 Happy New Year^^

Jun2daKAY 


สวัสดีปีใหม่ครับ #2015 #JUN_K #2PM #HOTTEST

Khunnie0624

Happy new year!!!!!!!!!!!!! สวัสดีปีใหม่ครับ!!!! (ภาษาเกาหลีเหมือนภาษาไทย)
Have a great and healthy and happy 2015!!!! Live more love more and smile more!

taeccool

สวัสดีปีใหม่ครับ แฟนๆทุกคนที่มาในวันนี้กลับบ้านกันอย่างปลอดภัยนะครับ

dlwnsghek

hottest ทุกคน สวัสดีปีใหม่นะครับ
เพราะแฟนๆที่มารอเป็นเวลานานที่ซังอัม ผมเลยไม่รู้สึกหนาวเลยครับ
ขอบคุณนะครับ
ขอให้มีแต่เรื่องดีๆปรากฎในปี 2015 นะครับ
ผมก็จะทำงานหนักเหมือนวัวครับ
ทูพีเอ็มจะรีบกลับมาโดยไว รักนะครับ

2pmagreement211

ว้าว followers เกินล้านนึงแล้วเหรอเนี่ย
ในอนาคตก็จะขยันทำงานต่อไปครับ
สวัสดีปีใหม่ ขอบคุณนะครับ

[TH trans] Chansung's Interview in TenAsia Mag (Part2)

เจอ 2PM Chansung เวลาบ่ายสองโมง

Q. ตอนนี้ 2PM ยังใช้ชีวิตร่วมกันในหอพักหรือเปล่า?

CS: ไม่ครับ ปีที่แล้วเริ่มที่ พี่มินจุนและอูยองออกไปก่อน พี่แทคยอนก็ออกไปครับ หลังจากนั้นพี่คุณ จุนโฮ และผม อยู่ด้วยกันสามคน, พี่คุณก็เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งออกไปครับ จุนโฮก็บอกว่าหาบ้านได้แล้ว ไม่เคยคิดจะอยู่คนเดียวจนถึงเวลาก่อนเข้ากรมเลยนะครับ, ถึงไม่ใช่ความต้องการของผมก็ตาม แต่ผมก็กำลังหาบ้านอยู่เหมือนกันครับ

Q. ในขณะที่เมมเบอร์แต่ละคนต่างก็มีกิจกรรมขอตัวเองมากขึ้น คงจะมีตารางงานที่ทับซ้อนกันอยู่, เหมือนว่าจะมีทั้งความคาดหวังและความกังวลในการใช้ชีวิตคนเดียวอยู่นะ
CS: ต่างกันกับการอยู่ร่วมกันมากครับ ถ้ามีเวลาอยู่คนเดียวมากขึ้น ก็จะคิดมากขึ้นตามไปด้วย เคยอยากรู้มากๆเลยลองถามพี่มินจุนไปครับ ว่า "อยู่คนเดียวเป็นไงบ้าง" พอถามไป "เหงามาก มากๆ มาอยู่กับฮยองเหอะ" เขาว่างั้นครับ (หัวเราะ)

Q. เป็นคนอ่อนไหวง่ายกับความเหงาไหม

CS: คงเพราะผมไม่เคยใช้ชีวิตคนเดียว เลยชอบการอยู่คนเดียวมากๆครับ ไม่เคยคิดว่าการใช้เวลาร่วมกับใครๆเป็นสิ่งจำเป็น, แต่รู้สึกเวลาสำหรับอยู่คนเดียวจำเป็นมากกว่าครับ แต่ถ้าได้อยู่คนเดียวจริงๆขึ้นมาก็อาจจะเปลี่ยนความคิดได้นะครับ (คนแปล - สรุปก็คือไม่ขี้เหงาสิว่างั้น?)

Q. อัลบั้ม 2PM อัลบั้มที่ 4 Go Crazy อัลบั้มนี้ได้เข้าร่วมการทำงานเบื้องหลังด้วย

CS: ผมเริ่มเรียนแต่งเพลงเองตั้งแต่ปีนี้ครับ การลองผิดลองถูกไปเรื่อยสนุกดีครับ แต่จนถึงตอนนี้เพลงแต่งเองยังคงทำร่วมกับฮยองอยู่ครับ เพราะผมหมกมุ่นอยู่กับการเรียนแต่งเพลงมาก ในการแต่งเพลงบางทีก็ไม่สนใจโลกภายนอกเลย ถ้าหากสมาธิผมแข็งแกร่งและทำอะไรหลายๆอย่างในทีเดียวได้เหมือนหนวดปลาหมึกก็คงจะดีนะครับ แต่ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก

Q. ความรู้สึกตอนปล่อยเพลงแต่งเองอย่าง "Boyfriend" และ "คำว่ารัก" กับตอนดูหนังครั้งแรกคงจะต่างกัน 

CS: ต่างกันมากครับ อย่างเพลงนี่มันผ่านไปพรวดเดียวเลยครับ เพราะในคอนเสิร์ตมีเพลงที่ผมแต่งเองแค่เพลงสองเพลง (หัวเราะ) ถ้าผมแต่งเพลงเยอะๆ แล้วใส่เพลงตัวเองในคอนเสิร์ตได้เยอะๆ ความรู้สึกคงต่างกับตอนนี้มั้งนะครับ (คนแปล - ก็มีโซโล่สิคุณ,,,, คึๆๆๆๆ) 

Q. เริ่มอยากใส่เพลงของตัวเองลงในคอนเสิร์ตตอนไหน

CS: ผมอยากทำเพลงของตัวเองมาตลอดครับ

Q. ถ้ามีโซโล่อัลบั้มออกมา ผลงานจะออกมาเป็นแบบไหน

CS: คงจะไม่ใช่เพลงที่สนุกสนาน ไม่อยากใส่พวกเพลงที่ฟังง่ายๆเข้าไปเยอะครับ

Q. คิดไหมว่า ด้วยTV หรือสื่อมีเดียที่สะท้อนภาพของคุณออกมาจะทำให้เราเข้าใจคุณผิดได้

CS : อืม ถ้าลองค้นหากันสักหน่อยก็คงจะดี แน่นอนว่าการตัดต่อออกอากาศ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นได้ ถ้ามีคนด่าก็คิดว่าอยากจะชี้แจงให้เข้าใจครับ ดีนะครับ ที่ยังไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้นออกมา

Q. ถ้างั้น ในทางตรงกันข้าม การเข้าใจผิดแบบนี้ก็ไม่เลวนะ ไม่มีอะไรแบบนั้นบ้างเหรอ

CS: อืม… เหนือกว่าสิ่งนั้น ผมคิดว่าถ้าผู้คนไม่มองว่าผมอ้วนหรือหนักก็คงจะดีครับ

Q. คิดว่าคนมองว่าเราเป็นคนหนักเหรอ

CS: ก็ไม่ทั้งหมดหรอกครับ มีท่านที่อายุมากกว่าผมหลายๆคน ท่านเหล่านั้น "ไออิกู ชานซองของเรา อูจูๆๆๆ(เป็นคำบรรยายอากัปกิริยาทำปากจู๋ๆๆอะไรแบบนั้น พวกผู้ใหญ่คงชอบพูดกับเด็ก)" พูดอย่างงั้นกันอ่ะครับ (หัวเราะ) พวกเขาก็มองข้อเสียผมในแง่ดีให้นะครับ 

Q. ข้อเสียของคุณที่อยากแก้ไข?

CS: ไม่ค่อยมีสติ ขี้ลืมด้วยครับ

Q. รู้มาว่าขยันออกกำลังกายมาก ไม่มีการบังคับเกี่ยวกับร่างกายเหรอ 

CS: เหมือนมีนะครับ เวลาดูรูป ถ้าน้ำหนักขึ้นก็หงุดหงิดครับ ดังนั้นตั้งใจจะรักษามาตรฐานไว้ให้ดี แต่ล่าสุดเดินทางไปอเมริกามา น้ำหนักขึ้นเยอะครับ เวลาน้ำหนักลงจะประมาณ 78kg, ปกติจะรักษาน้ำหนักไว้ท่ 80kgครับ แต่ไม่นานมานี้ชั่นน้ำหนัก น้ำหนักขึ้นเป็น 84.5kg! ช๊อคมากครับ ออกกำลังกายหนักมากๆ วันถัดมาลองชั่งน้ำหนักดูลงไป1kg ครับ "พี่ นี่มันอะไรกัน?" เขาว่าผมบวมน้ำ

Q. ยังไงก็ตาม 2PM ได้รับความนิยมจากภาพลักษณ์เซ็กซี่ ไอดอลสัตว์ป่า รู้สึกยังไงกับคำว่าเซ็กซี่บ้าง

CS: มีตอนที่เซ็กซี่ด้วยใช่ไหมครับ? ฮ่าๆๆๆ ต้องมีบ้างสิ เวลาที่อยู่กับผู้หญิง, อืม ฮ่าๆๆๆๆ

Q. ลองทำให้เป็นรูปธรรมดู เพราะการรู้ว่าตัวเองเซ็กซี่ตอนไหนเป็นสิ่งสำคัญนะ

CS: ด้วยความตั้งใจ ก็ไม่ได้จะโชว์เซ็กแอพเพียลนะครับ แต่ว่าต้องทำบรรยากาศให้มีกลิ่นอายแบบนั้นบ้างไม่ใช่เหรอครับ

Q. คำว่า 2PM มีอิทธิพลอย่างไรกับคุณบ้าง

CS: มีอิทธิพลมหาศาลเลยครับ คือโลกและจักรวาลของผม แน่นอนว่าทำให้โลกของผมเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา การเรียนรู้ ความรู้สึก ทุกสิ่งในชีวิตมาจาก 2PM ครับ สามารถบอกได้ว่าเป็นทั้งหมดของชีวิตผม แน่นอนว่าการใช้ชีวิตส่วนตัวต้องดำรงอยู่แต่, การเป็นสมาชิกของ 2PM นั้น สำหรับผมคือเรื่องที่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ครับ

Q. แล้วคิดว่าตัวเองมีอิทธิพลกับ 2PM อย่างไร

CS: ผมคิดว่าทีมในตอนนี้คือชีวิต เพราะไม่ใช่ผมเท่านั้น เมมเบอร์คนอื่นๆต่างก็ช่วยกันอุดรอยรั่วของ 2PM อยู่ เคล็ดลับของการประคองวงให้อยู่ได้นาน คือต้องดูว่าเชื่อใจซึ่งกันและกันมากแค่ไหน พวกเราเป็นกลุ่มที่คุยกันเยอะมากครับ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จะไม่คุยกันในทันที จะมีคนที่คอยดูสถาณการณ์ ซึ่งถ้าช่วงเวลาที่เหมาะมาถึง "อีกสักครู่มาคุยกันหน่อยนะ" พอพูดงั้นทุกคนก็จะกังวล "นี่ฉันไปทำอะไรผิดอีกรึ" คิดแบบนั้นไปด้วย (หัวเราะ) และก็เตรียมใจเปิดรับยอมรับทุกอย่างไปด้วยแล้วก็มาประชุมกัน พอมารวมตัวกัน "ฉันไม่รอบคอบเองที่พูดแบบนั้นในที่ๆมีคนเยอะ" "ขอโทษนะ จะแก้ไขให้" "ฉันทำผิดเอง แต่ตอนนั้นนายเองก็เป็นแบบเดียวกัน ต้องรู้ด้วยนะ" "ใช่ อันนั้นความผิดฉันเอง" คุยกันแบบนี้ครับ

Q. ก่อนเดบิ้วได้เข้าร่วมรายการออดิชั่น SBS 'Superstar Survival' (ปี2006) ตอนนี้เป็นฤดูกาลของรายการออดิชั่น ในฐานะรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มาก่อน ในช่วงนี้ที่มีการแข่งขันสูง มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง

CS: อืม ถ้าให้พูดตรงๆ ผมคิดว่าอย่าทำเลยดีกว่าครับ แน่นอนว่าสิ่งดีๆก็มีเยอะครับ เพราะได้เทรนตัวเอง ได้รับการยอมรับ ได้ยืนบนเวที หลังจากนั้นก็มีมีโอกาสได้ทำกิจกรรมต่างๆ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ผมกังวล คือตัวเองหลังจากได้รับความสนใจแบบนั้น พอเดบิ้วเอาเข้าจริงๆ มีโอกาสอย่างมากที่จะไม่ได้รับความสนใจเท่าแต่ก่อนครับ ตอนที่โชว์เพลงของตัวเองที่อยากโชว์, มวลชนจะชอบหรือเปล่าก็ไม่สามารถรู้ได้ เหนือกว่าสิ่งใดเรายังเด็กอยู่มากครับ ถ้าได้เจอคนที่จะช่วยถ่ายทอดพรสวรรค์ให้ก็เป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสนั้นครับ เมื่อตอนเป็นเด็ก ก็ยอมรับว่าใจเราก็ยังเด็ก การทำงานเป็นภาระที่หนักอึ้ง การจะเอาชนะภาระนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ ขณะทำกิจกรรมก็มีโดนด่า ถ้าสุขภาพจิตดีไปได้ดีก็ดีไป แต่จะดีแบบนั้นมีโอกาสเป็นไปได้น้อย พวกเขาบริสุทธิ์เกินที่จะต้องมีจิตใจที่บอบช้ำน่าสงสารแบบนี้ครับ

Q. ตัวเองเดบิ้วตอนอายุ 18 ปี รู้สึกว่าอายุตอนนั้นเด็กไปสำหรับการเดบิ้ว?

CS: สมแล้ว ผมคิดว่าผมสมควรแล้วที่เดบิ้วตอนวัยยังเด็กครับ

Q. การที่พูดแบบนั้น จริงๆแล้วรู้สึกอย่างไร

CS: มีความน่าเสียดายครับ เกิดเป็นคนไม่ว่าใครก็ตามก็ทำเรื่องผิดพลาดกันได้ ก่อนเดบิ้ว ทำผิดก็เรียนรู้และเริ่มต้นใหม่ได่ แต่หลังจากเดบิ้วนั้น การกระทำผิดนั้นๆมีผลประทบต่องานในอนาคตครับ เพราะเป็นเด็กเลยกระทำผิดพลาดไปบ้าง แต่มวลชนไม่ยอม(มองผ่าน)ให้ เพราะเป็นคนที่ได้รับความรักมากกว่าคนอื่นๆมากครับ เพราะอย่างงั้นจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม การเตรียมสะสมทักษะเป็นสิ่งสำคัญก็จริงแต่ การทำให้ตัวเป็นเป็นคนที่คู่ควรและพร้อมจะแบกรับภาระนั้น และก็มีความแข็งแกร่งเพียงพอให้ได้ก่อนแล้วเริ่มต้นทำกิจกรรม(เดบิ้ว)เป็นสิ่งที่ดีครับ 

Q. คุณทะเลาะกับอะไรมาบ้าง
CS: ตอนนี้การกระทำของผมเป็นข่าวก๊อซซิปเลยทำให้คนหัวเราะและสนุกครับ ผมในตอนนี้ก็เป็นแบบ "ครับ เชิญสนุกกันไปฮะ" แต่ว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน เวลามีอะไรแบบนี้มันคือความเครียดครับ มันไม่หายไปง่ายๆด้วย อา ตอนนี้ผมดูเหมือนจะพูดวกไปวนมา ไม่รู้สินะ ถ้าสะสมประสบการณ์มากกว่านี้ อาจจะดีกว่านี้ก็ได้

(คนแปล - ขออนุญาติตีความค่ะ การเป็นดาราในเกาหลีเนี่ยมันต้องเริ่มต้นแต่เด็ก แต่สำหรับชานซองน่าจะเด็กเกินไป วัยเด็กยังไม่พร้อมที่รับความกดดันและความเครียดอะไรมากขนาดนั้น ชานคงหมายถึงว่าเขาควรจะใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดา สะสมประสบการณ์และเตรียมตัวเตรียมใจอีกสักนิดแล้วค่อยเดบิ้ว มันจะทำให้เขารับมือกับอะไรเครียดๆได้ดีกว่าเขาที่เดบิ้วตั้งแต่เด็กในตอนนี้.... อ่านเองเข้าใจเองแบบนี้นะคะ)

Q. ไม่นะ เป็นคำพูดที่สำคัญและถูกต้องเลย เหมือนว่าถ้ามีไทม์แมชชีนและย้อนกลับไป คงจะไม่เริ่มต้นในวงการบันเทิงตั้งแต่วัยเด็ก

CS: ไม่ทำครับ เหนือสิ่งนั้นคงจะเตรียมตัวให้มากขึ้นมากกว่า ขยันไปโรงเรียน ขยันเรียน

Q: ถ้าเป็นอย่างงั้นก็อาจจะไม่ได้เป็น 2PM เหมือนกับตอนนี้นะ


CS: อืม ก็อาจจะไม่ได้เป็นครับ อย่างไรก็ตาม มันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ครับ ตอนที่แสดง High Kick มีอาจารย์ท่านนึงกล่าวไว้ครับว่า "นายอ่ะ เดบิ้วเร็วเกินไป ต้องมีประสบการณ์มากกว่านี้ก่อนนะ น่าเสียดายจริง".. ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าท่านพูดถึงอะไร ตอนนี้ค่อนข้างจะทราบแล้วครับ

Q. ในการเป็น 2PM ก็ได้สนุกสนานกับประสบการณ์ที่คนอื่นเขาไม่สามารถทำได้นะ

CS: ทราบครับ ดังนั้นถึงมีความหมายสำหรับผมไงครับ พอดูตารางงานแล้ว แพลนยาวไปจนถึงก่อนเข้ากรมครับ มีทั้งเล่นคอนเสิร์ตที่ญี่ปุ่น ปล่อยอัลบั้มที่เกาหลี งานเดี่ยวในตอนนี้ก็ได้ทำแล้ว…พอดูอย่างงี้ก็คิดว่าผมไม่ขาดอะไรแล้ว (หัวเราะ) อย่างไรก็ตามมันเหมือนพรให้กับผมนะครับ เป็นช่วงเวลาที่ได้ทำกิจกรรมที่ดี และก็อยากขอบคุณเหล่าผู้คนที่เข้ามาหาผมอย่างมากเลยครับ ทั้งคอนเสิร์ต รายการออกอากาศ เหล่าภาพยนต์ที่เผยตัวผม ผมเชื่อว่าได้สะสมประสบการณ์ที่ดีกลับไปมากเลยครับ

Q. ปีนี้ก็เหลืออีกไม่นานแล้วนะ ลองดูชานซองในปี 2014 แล้วให้คะแนนเท่าไหร่จากเต็ม 10?

CS: 8 คะแนน?

Q. สูงจังเลยนะ

CS: ผมทำงานหนักอย่างนั้นนี่ครับ จะให้แค่ 5 คะแนนไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ (หัวเราะ)

(END)
TH Trans by Chansungstation
ที่มา http://m.news.naver.com/read.nhn?mode=LSD&mid=sec&sid1=106&oid=312&aid=0000063874

(TH trans) Chansung's Interview from TenAsia Mag (Part1)

2PM ชานซอง การเดินทางของ “ช่วงเวลาที่แท้จริง” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

Q: มาให้สัมภาษณ์ทันทีหลังจากกลับจากเข้าร่วมงาน MAMA ไหนจะตารางโปรโมทภาพยนต์ทับซ้อนกับ 2PM World Tour อีก เคยคิดไหมว่าจะมีตารางงานที่ยุ่งแบบนี้ในการใช้ชีวิตช่วงวัยยี่สิบกว่าๆ

CS : ไม่เลยครับ (ยิ้ม) ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นแบบนี้


Q: การใช้ชีวิตที่แสนยุ่งนี้ทำไปเพื่ออะไรกันนะ เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต? เป็นงานที่ชอบ? หรือว่าเพราะว่าเป็นตารางงานก็เลยต้องทำ?

CS: ผมคิดว่างานของผมทุกงานมีความหมายครับ เพราะหากไม่คิดแบบนั้นมันจะกลายเป็นการทรมาณร่างกายและก็จะเหนื่อยครับ และเพราะคิดว่า งานนี้เป็นเป้าหมายของชีวิตผมยิ่งทำให้ผมจริงจังกับงานครับ


Q: หมายความว่า “อาชีพนักร้อง เป็นเส้นทางที่ฉันจะต้องเดินไปให้ได้” เพิ่งรู้สึกว่าคำนั้นมันลึกซึ้งเอาก็ตอนนี้เหรอ

CS: ถ้าจะให้ถูกเรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่คิดว่าความคิดนั้นมันถูกต้อง มันใช่มากกว่าครับ ผมเดบิ้วมา 9 ปีแล้ว (ในฐานะ 2PM คิดเป็น 7ปี) 9ปีที่ผ่านมามีเรื่องมากมายเลยครับ เวลาที่ร่างกายล้าก็จะมีความคิดแง่ลบประดังประเดเข้ามาครับ อย่างตอนที่เสียใจก็เคยคิดว่าพวกพี่สต้าฟ “คนเหล่านี้เค้ามาทำงานเพื่อผมจริงๆเหรอ” เหมือนกันครับ จนเมื่อถึงเวลาหนึ่ง, ก็รู้ว่าไอ้ความกังวลเหล่านั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรครับ ความคิดแง่ลบทั้งหลายเหล่านั้นเป็นยาพิษที่เกาะกินตัวผมด้วยซ้ำ หลังจากรู้ตัวว่าได้รับอิทธิพลที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิต มุมมองต่อเรื่องต่างๆของผมก็เปลี่ยนไปมากเลยครับ


Q: ถึงแม้จะรู้ตัวว่าการคิดแง่ลบไม่ได้ให้ประโยชน์อะไร แต่การเปลี่ยนแปลงความคิดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ มันมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปได้ยังไงนะตอนนั้น

CS: ที่บริษัทมีอาจารย์หมอที่คอยดูแลด้านสุขภาพจิต (Mental Care) อยู่ครับ Mental Care จะคอยดูแลตั้งแต่เด็กฝึก พนักงาน ครอบครัว JYP ทุกคน, ผมนั้นตั้งแต่ก่อนเป็นคนมองโลกในแง่ดีอยู่แล้วครับ วันที่เจออาจารย์หมอครั้งแรก, ผมได้ตอบ Check List ประเมินสภาพจิตใจตัวเองครับ ทันทีที่เห็นใบ Check List ของผม “ช่วงนี้มีความสุขกับงานสินะ” “ใช่ครับ” “ไม่มีความไม่พอใจเนอะ?” “ครับ” “ก็ไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษ และ ถ้าสนใจด้านจิตวิทยาล่ะก็ ลองมาเรียนด้วยกันไหม” ท่านบอกอย่างนี้ ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ได้เริ่มต้นเรียนด้านจิตวิทยากับอาจารย์ครับ เรียนมาได้สามปีแล้วครับ


Q: ที่ว่ามีความสนใจด้านจิตวิทยาสูง สนใจเรื่องของคนอื่นหรืออยากรู้เกี่ยวกับตัวเองกันล่ะ

CS: ทั้งสองอย่างครับ ปกติผมเป็นคนที่ชอบถามตัวเองบ่อยๆครับ “ทำไมผมทำตัวอย่างงั้นไปนะ” “ทำไมตอนนั้นถึงได้คิดอย่างงั้นไปนะ” ถามหาคำตอบของความกังวลเหล่านั้นวนไปวนมาครับ เป็นอยู่อย่างงั้น จนได้รับฟังคำแนะนำจากอาจารย์หมอ และก็ได้อ่านหนังสือที่ได้รับการแนะนำมาจากท่าน ก็ทำให้จัดแจงความคิดที่ยุ่งเหยิงนั้นได้ครับ


Q: เวลาเข้าหาคนอื่นก็สบายใจขึ้นนิดหน่อยไหม เข้าถึงจิตใจของคนอื่นด้วยไหม

CS: ผมยังไม่ถึงขั้นที่จะเข้าถึงจิตใจของคนอื่นได้ครับ แต่ว่าก็เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่าก่อนครับ เช่น สมมติว่าใครสักคนทำอะไรที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวมากๆ ผมคิดว่าถ้างั้น “คนๆนั้นก็คงจะได้รับการปลอบด้วยสิ่งเหล่านั้นด้วยละมั้ง” (คนแปล – น้องชานคงจะหมายถึงได้รับมาอย่างไรก็ติดมาเป็นนิสัยละมั้งคะ เช่นพ่อแม่เลี้ยงเรามายังไง เราก็ติดนิสัยเหล่านั้นไปใช้กับคนอื่นต่อ.... คิดว่าน่าจะอย่างงั้นนะคะ แปลเองงงเอง ขออภัยค่ะ) 


Q: เพิ่งมาเข้าใจลึกซึ้งว่า “งานนี้คืองานที่ฉันจะต้องเดินทางต่อไป” 1,2ปีที่ผ่านมานี้เอง ถ้าอย่างงั้น ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าอาจจะไปทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่นักร้องก็ได้?

CS: ผมไม่เคยมีความคิดแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนั้นคิดว่าแค่ขยันทำงานไปเหอะเท่านั้นเอง ตอนนี้มันต่างไป คิดว่างานที่ผมทำอยู่ตอนนี้เนี่ย มันมาถูกทางแล้วครับ


Q: เส้นทางที่ว่านั้นก็คงจะมีเรื่องของการแสดงด้วย, จริงๆแล้วเริ่มเป็นนักแสดงก่อนนักร้องอีกนะ

CS: ใช่ครับ เรื่อง High Kick


Q: ล่าสุด ภายในช่วงเวลาสองเดือนก็มีภาพยนต์เรื่อง Red Carpet กับ ห้าพี่น้องด๊อกซูรี ความใส่ใจไม่ค่อยเยอะ ก่อนหน้านี้ก็มีภาพยนต์เรื่องอื่นๆเปิดตัวด้วย, อาจจะรู้สึกเสียดาย หรือไม่ก็ตรงข้ามคือดีไปเลย ของเราเป็นยังไง
CS: หลังจากข้าราชการระดับ 7(2013)จบลง ในปีเดียวกันช่วงปลายฤดูร้อนก็เริ่มถ่ายทำ Red Carpet ครับ จากนั้นไม่นานก็ถ่ายทำห้าพี่น้องด๊อกซูรี จริงๆแล้วไม่รู้เลยว่าภาพยนต์สองเรื่องนี้จะเปิดตัวในเวลาใกล้ๆกัน เพราะการเปิดตัวถูกเลื่อนออกไป ก็คิดว่า “ปีนี้คงจะไม่ได้ฉายละมั้ง” พอภาพยนต์ทั้งสองเรื่องเปิดตัวเลยโล่งใจมากครับ 


Q: ภาพยนต์เรื่องแรก Red Carpet เป็นแทยุน น้องเล็กในทีมสต้าฟถ่ายทำภาพยนต์ผู้ใหญ่ และห้าพี่น้องด๊อกซูรีก็แสดงเป็นพี่น้องคนที่สี่ซูกึนผู้ไม่เคยท้อถอย ตัวละครทั้งสองตัว มีมุมที่ตลกและก็ดูเด็กๆ ส่วนตัว(ของคนถาม)แล้วถ้าคิดว่าคาแรคเตอร์มันต่างกันจะเป็นยังไงนะ

CS: ผมก็ใส่ใจกับจุดนี้เหมือนกันนะครับ เพราะคนจะคิดได้ว่า “โอ้ เขาแสดงเหมือนๆกันนะ” ถ้าได้ยินคำวิจารย์เหล่านั้นคงจะรู้สึกเจ็บใจไม่น้อยครับ คนรอบๆตัวก็ไม่มีใครพูดว่าการแสดงของผมดูขาดนะครับ (หัวเราะ) ผมกำลังพยายามรับฟีดแบคที่ชัดเจนอยู่ครับ


Q: สมมติถ้าต้องเลือกระหว่าง “สิ่งที่ชอบ” กับ “สิ่งที่ทำได้ดี” จะเลือกอย่างไร

CS: ถ้าทั้งสองอย่างอยู่ด้วยกันก็คงจะดีสุดๆเลยครับ, ถ้าจะต้องเลือกแค่อย่างเดียวจากสองอย่างคงจะเลือก “สิ่งที่ชอบ” ครับ มีตัวแปรครับ เป็นข้อต่างของ การตั้งอยู่บนความตั้งใจของคนอื่นแล้วทำได้ดี กับการตั้งอยู่บนความตั้งใจของตัวเองแล้วทำได้ดี ถ้าหากมีสิ่งที่ตั้งอยู่บนความตั้งใจของผมแล้วทำได้ดี ก็จะเลือกสิ่งนั้นครับ ผมมองว่าการทำสิ่งที่ชอบเป็นงานอดิเรกย่อมดีกว่าครับ


Q: เป็นคำตอบที่ชัดเจนนะ แล้วการแสดงเป็น “สิ่งที่ชอบ” หรือ “สิ่งที่ทำได้ดี” กันล่ะ

CS: การแสดงเป็นสิ่งที่ผมชอบ และเป็นสิ่งที่ผมอยากทำครับ ยังไม่รู้หรอกครับว่าเป็นสิ่งที่ได้ดีหรือเปล่า (หัวเราะ)


Q: เป็นคนมีความต้องการ(ทะเยอทะยาน)สูงหรือเปล่า

CS: ผมมีความทะเยอทะยาน แต่ไม่มีความอยากเอาชนะ


Q: เป็นพอยด์สำคัญเลยนะ ทำไมไม่มีความอยากเอาชนะล่ะ

CS: สามารถพูดต่อจากคำพูดเมื่อสักครู่ได้เหมือนกันนะครับ, ความคิดที่ว่า “ต้องทำให้ดีกว่าคนอื่น ผลถึงจะออกมาดี”นั้น จะทำให้ตัวผมพัง ไม่ใช่ผมเท่านั้นที่ขยัน แต่ไม่ว่าใครก็ตาม หากแต่ละคนใช้วิธีของตัวเอง และทำให้ดีที่สุด เราจะสามารถเอาชนะได้ คิดว่าแบบนั้นมันน่าจะถูกมากกว่าครับ จริงๆแล้ว ผลนั้นเอามาเปรียบกับความพยายามไม่ได้หรอกครับ


Q: นั่นน่ะสิ, เปรียบกันไม่ได้หรอก

CS: ไม่มีอะไรรับรองว่าการพยายามจนตายจะประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าทุกครั้งต้องพยายาม แค่หมายถึงว่าไม่ต้องไปคาดหวังกับผลมากเท่านั้นเองครับ


Q: นี่เข้าใจโลกเร็วไปหน่อยหรือเปล่า อายุเพียงแค่ 25 ปี แต่เข้าใจถ่องแท้ได้ขนาดนี้ (หัวเราะ)

CS: โอ้ย! อย่างงั้นอีกแล้ว (หัวเราะ)


Q:ในแง่ของจิตวิทยา มีมุมมองยังไงให้จิตใจเราแข็งแรง หมายถึงตอนที่รู้ว่าขยันยังไงก็ไม่เป็นผล

CS: ยอมรับมันสิครับ


Q: ถ้ายอมรับก็เหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงได้?

CS: ผมคิดอย่างนี้นะครับ นักแสดง นักร้อง ศิลปิน ต่างมีสีของตัวเองติดตัว อาชีพเหล่านั้นเป็นอาชีพที่เผยให้เห็นว่า “ฉันเป็นคนแบบนี้แหละ” ช่วงเวลาที่คนเหล่านั้นเปล่งประกายที่สุดนั้น คงจะเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนมองเห็นสีประจำตัวเหล่านั้น หากช่วงเวลานั้นไม่มา แล้วท้อใจหรือโทษตัวเองว่าไม่มีความสามารถ ถ้าคิดงั้นก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องที่น่าเศร้ากว่านี้ได้


Q: ยังไงก็ตาม สังคมวงการบันเทิง เป็นที่ๆต้องการความอยากเอาชนะนะ

CS: ใช่ครับ หลายๆคนไปสูงขึ้น สิ่งสำคัญคือไม่หวั่นไหวไปกับความรื่นเริงจนเกินไป


Q: ก่อนเป็นนักร้องคุณเป็นคนยังไง

CS: เคยเล่นเทควันโด้มาก่อนครับ เคยเล่นกีฬาฟันดาบ(ไม้ไผ่)อยู่แป๊บๆ สมัยเด็กไม่มีความฝันที่ชัดเจนครับ ทำไมสมัยประถมไม่ถามว่า “ลองเขียนความฝันตัวเองดูสิ” ตอนนั้นไม่เคยเขียนว่าความตั้งใจของผมเป็นยังไงเลยครับ ถ้าเพื่อนบอกว่า “ฉันจะเป็นประธานาธิปดี” ล่ะก็ “ฉันด้วย จะเป็นประธานาธิปดี”, ถ้าหากเพื่อนบอก “ฉันจะเป็นนักวิทยาศาสตร์” ผมก็ “ผมด้วย, เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วย” จะเขียนตามๆไปแบบนั้นล่ะครับ ยังไงก็ตาม การที่สมัยเด็กๆ ทุกคนฝันจะเป็นประธานาธิปดี, นักวิทยาศาสตร์ มันไม่แปลกเหรอครับ?


Q: ต้องเลิกการเรียนแบบท่องจำเนอะ

CS: ตอนนั้นผมไม่คิดว่ามันแปลกหรอกครับ ตอนนี้ถึงได้คิด ว่าเออ ผมแปลกจริงๆแหละ (หัวเราะ)


Q: เป็นน้องเล็กของวง น้องเล็กแบ่งได้สองแบบใหญ่ๆ เพราะเป็นน้องเล็กเลยทำตัวซนๆ เด็กๆ หรือ เพราะไม่ชอบให้ใครมองว่าเป็นน้องเล็กเลยทำตัวค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ ตัวเองเป็นแบบไหนกัน

CS : ไม่ใช่ทั้งสองแบบครับ บรรยากาศของวงเหมือนเพื่อนกันครับ มินจุน(จุนเค) แทคยอน พี่คุณ พวกเขาไม่เคยทำแบบ “เพราะฉันเป็นพี่ ฉันเลยต้องจัดการนาย” พวกเราเหล่าน้องเล็กก็ไม่เคยพูดประมาณว่า “เพราะผมเป็นน้องนะ” อะไรแบบนี้เลยครับ แน่นอนว่า ในการเข้าหาคนต่อคนต้องมีการรักษามารยาท เรารักษามาตรฐานนั้นไว้และใช้ชีวิตเหมือนเพื่อนกันอยู่ครับ

(จริงๆบทสัมภาษณ์นี้มีต่อภาคสอง เจอกันภาคหน้าค่ะ)

TH Trans by Chansungstation
ที่มา http://tenasia.hankyung.com/archives/398294

(แปล) สัมภาษณ์จุนโฮ จาก Ceci

Ceci : ที่ผ่านมาทำอะไรมาบ้าง


ตอนนี้กำลังมี World Tour ของ 2PM อยู่ครับ ก่อนหน้านี้มีวางขายอัลบั้มโซโล่ที่ญี่ปุ่นและ ขณะที่ทำกิจกรรมของ 2PM อยู่ก็ถ่ายทำภาพยนต์ Twenty ในเวลาเดียวกัน (Ceci:แค่ฟังก็รู้สึกว่าเป็นตารางงานที่เหนื่อยมากแล้วนะ) แค่ดูแลสุขภาพร่างกายก็โอเคแล้วครับ แต่ว่าก็มีปัญหาเรื่องเวลานอนไม่พอครับ (Ceci:คงต้องการเวลาพักผ่อนสินะ) ก็เพิ่งรู้สึกเอาครั้งนี้ล่ะครับ ในเวิร์ลทัวร์ครั้งนี้ก็ได้ไปทะเลที่แอลเอเป็นช่วงเวลาสั้นๆครับ แค่นั่งอยู่ใต้แสงแดดมองแต่ทะเลก็รู้สึกดีแล้วครับ ก็ไม่รู้ว่าจะมีช่วงเวลาสั้นๆแบบนั้นอีกเมื่อไหร่นะครับ อย่างไรก็ตาม มีเรื่องน่าเสียดายเยอะครับ การได้พักผ่อนก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ แต่งานของผมค่อนข้างแน่นและเร่งด้วย (Ceci:ความทะเยอทะยานสูงนะ) ตอนที่ทำกิจกรรมของ 2PM และถ่ายภาพยนต์เรื่อง Twenty ไปด้วย จริงๆแล้วร่างกายผมเพลียมากเลยครับ แต่เพราะเป็นงานที่ผมอยากทำก็แค่อดทนครับ

Ceci : ล่าสุด การถ่ายทำภาพยนต์ Twenty ก็จบลง


'Twenty' คือวัยรุ่น, เป็นเรื่องราวของเหล่าเด็กๆวัยยี่สิบ ทุกคนพูดถึงแต่ตอนที่มีเรื่องดีๆ แต่จริงแล้ว เป็นวัยที่พ่อแม่จะมีเรื่องกังวลเกี่ยวกับพวกลูกๆมากที่สุด ใช่ไหมล่ะครับ ทั้งเรื่องทางเดิน การเป็นทหาร ปัญหาเหล่านั้นก็เกิดขึ้นช่วงอายุยี่สิบ ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันแก้ปัญหาไปได้ ตัวเราก็เผยให้เห็นความกังวลใจที่ไม่มีความสิ้นสุด ทั้งนี้มีเรื่องของความรัก และความหวังแฝงอยู่ในภาพยนต์เรื่องนี้ด้วยครับ

Ceci : คาแรคเตอร์ของทงโฮในหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง


เป็นลูกชายที่เคยอยู่ในบ้านที่สุขสบายดี จนคุณพ่อล้มเหลวในธุรกิจเลยต้องมาเจอสภาพความจนที่เลวร้ายครับ และเป็นคาแรคเตอร์ที่ต้องทรมาณอดทนกับความหิวครับ ในตอนนั้นมีความฝันอยากจะเป็นนักวาดการ์ตูนด้วย ดังนั้นก็เลยทำงานพาร์ททามและมีความหวังเรื่องสอบเข้ามหาลัยอีกครั้งนึง เป็นคาแรคเตอร์ที่สะท้อนให้เห็นการใช้ชีวิตและจนจริงๆครับ (ยิ้ม)

Ceci : และก็ได้ร่วมงานกับเพื่อนที่อายุเท่ากันด้วย


อูบิน ฮานึล ไม่ได้มีจุดเหมือนกันเพียงแค่เป็นผู้ชายที่อายุเท่ากันเท่านั้น แต่การพูดคุยก็เข้ากันได้ดี พวกเราสนุกสนานกันมากครับ ตลอดการถ่ายทำมีหลุดก๊ากออกมาเยอะจนโดนคัทไปเยอะเลยครับ อย่างไรก็ตามการที่พวกเรามีบรรยากาศดีๆแบบนี้ ทำให้ภาพในสกรีนก็ออกมาดีด้วยครับ มันให้ประโยชน์ในด้านนี้ด้วยครับ

Ceci : ผู้กำกับ อีบยองฮอนก็เป็นคนสนุกมากไม่ใช่หรือ ได้รับคำสั่งหรือคำขออะไรจากเขาบ้างไหม


เขาสั่งให้แสดงให้เหมือนเป็นคนอายุยี่สิบจริงๆ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่การกระทำ การแสดงความรู้สึกต้องทำให้เด็กลงครับ เขาบอกว่าผมตอนนี้ดูหล่อเกินไป (หัวเราะ) ท่านคิดว่าผมดูเป็นผู้ใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับคนอื่นๆมั้งครับ ดังนั้น “ต้องเด็กกว่านี้อีก บ้ากว่านี้ก็ได้ ต้องดูจนกว่านี้อีก” ได้รับการล้างสมองแบบนี้ตลอดการถ่ายทำครับ จนสุดท้ายพวกเรากลายเป็นเด็กสมัยก่อนไปเลยครับ แต่เพราะเรื่องหิวของผมทำให้ผมดูเหมือนน้อยกว่า (ยิ้ม)

Ceci : ในชีวิตจริงใช้ชีวิตวัยยี่สิบยังไงนะ สงสัยจัง


ตอนอายุ 17 เริ่มใช้ชีวิตในสังคมในฐานะเด็กฝึกครับ รู้เดียงสาเร็วกว่าเพื่อนๆไปมากครับ ตอนนั้นอยู่ในฐานะเด็กฝึกที่ไม่ได้เดบิ้วสักทีตัวผมเองมีความไม่สบายใจและกังวลใจไม่น้อยเลยครับ (Ceci : ตอนนั้นก็คงมีอะไรให้คิดหลายอย่างเลยสิ) เป็นเพราะยิ่งในกลุ่มเพื่อนที่เริ่มต้นมาด้วยกัน ก็มีทั้งคนที่ถูกตัดออก และคนที่ย้ายไปบริษัทอื่นก็เยอะด้วยครับ ในตอนนั้น “อา ผมชอบเจวายพี ถ้าหากเขาบอกให้ผมออก จะทำยังไงดีนะ” คิดแบบนี้และก็ดูท่าทางของบริษัทตลอด เป็นช่วงเวลาที่ไม่สบายใจเอามากๆเลยครับ 

Ceci : ถ้าหากย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลานั้นได้


ก็มีช่วงเวลาที่อยากย้อนกลับไปนะครับ อยากเริ่มต้นทำงานนี้อีกรอบนึง (Ceci : เหตุผล?) ถ้ากลับไปเริ่มต้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะทำได้ดีกว่ามั้งครับ (คนแปล : น้องโฮน่าจะหมายถึง ถ้าเอาตัวเองในตอนนี้กลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง น่าจะสตาร์ทได้ดีกว่าตัวเองในตอนนั้นมั้งคะ)

Ceci : แม้ว่าจะเอาความสามารถที่สะสมมาตลอดเจ็ดปีกลับไปไม่ได้?


ไม่ไปครับ ถ้างั้นก็ไม่ไปเด็ดขาด (หัวเราะ) พูดกันตรงๆ ให้ใช้ชีวิตอีกครั้ง 7 ปีอ่ะได้ครับ แต่ถ้าให้กลับไปเป็นเด็กฝึกอีกครั้งนี่คงทำไม่ได้แล้วครับ (Ceci : ไม่มีความคิดอยากจะใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาบ้างเลยเหรอ) เพราะมันเป็นความฝันของผมตั้งแต่เด็ก ล่าสุด “คนทำงานธรรมดาเค้าใช้ชีวิตกันยังไงนะ” สิ่งที่ผมเคยสงสัย คำตอบมันออกมาในละครเรื่อง “미생” ผมลองสัมผัสคำตอบผ่านละคร สุดท้าย ผมคิดว่าผมทำงานเป็นนักร้องแบบนี้ต่อไปดีกว่าครับ (หัวเราะ)

Ceci : การเดบิ้วครั้งแรกกับการแสดง ในภาพยนต์เรื่อง Cold eyes เป็นเรื่องคาดไม่ถึงอย่างมาก


ถ้าเทียบกับเมมเบอร์คนอื่นๆแล้ว โอกาสของผมไม่ได้มาเร็วแต่อย่างใดหรอกครับ แต่เมื่อก่อนผมก็มีความสนใจด้านการแสดงเยอะเหมือนกันครับ สมัยม.ปลายก็เคยทำกิจกรรมแสดงละครครับ ถ้าดูจากอายุโอกาสของผมก็นับว่ามาเร็วเหมือนกัน แต่ถ้าดูจากในกลุ่ม โอกาสของผมดูเหมือนจะมาค่อนข้างช้าซะด้วยซ้ำครับ (Ceci เพราะเตรียมตัวกับอย่างอื่นอยู่หรือเปล่า) ไม่ใช่ครับ ทุกครั้งที่ได้สัมภาษณ์เรื่องการแสดง ผมจะพูดเสมอว่าผมเตรียมตัวพร้อม ถ้ามีโอกาสผมก็มั่นใจว่าผมจะทำมันได้ดีครับ แต่อย่างไรก็ตามการมอบโอกาสให้ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่ายๆเนอะครับ

Ceci : มีประสบการณ์ทั้งด้านร้องเพลงและการแสดงแล้ว เสน่ห์ของทั้งสองอย่างคือ?


ไม่ว่าใครจะว่าไง ผมว่าผมสบายใจกับการเป็นนักร้องมากกว่าครับ สำหรับการแสดง เพราะว่าตอนนี้มันเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ความรู้สึกที่เคยมีเมื่อเจ็ดปีก่อน ล่าสุดก็กลับมารู้สึกอีกครั้งนึง เพราะว่าผมไม่เคยเข้าคลาสการแสดงแยกมาก่อน เลยมีช่วงที่แสดงเหมือนตัวเองที่เป็นมาก่อนก็มี มาตรฐานไม่มั่นคงก็มี เพราะผมไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์ด้านนี้มาตั้งแต่ต้น ถ้ายังคงทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ มันน่าจะดีขึ้นไม่ใช่เหรอ ผมคิดว่างั้นนะครับ

Ceci : ล่าสุด อัลบั้มที่วางขายในญี่ปุ่น ได้เข้าร่วมการโปรดิวซ์ มีแต่งเพลงเอง ไม่คิดบ้างเหรอว่านั่นคือพรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่เกิด


ให้พูดกันตามตรง มันเป็นเพราะความพยายามจนถึงที่สุดครับ ผมเคยคิดว่าหากได้มีกิจกรรมโซโล่ ผมอยากจะเขียนเพลงของผมขึ้นมาเองครับ ความปรารถนานั้นมันยิ่งใหญ่มากนะครับ เคยคิดว่าหากมีสิ่งใดที่อยากทำ ต้องวาดภาพไว้ก่อนแล้วมันจะต้องออกมาเป๊ะ แต่นั้นมันก็ออกมาไม่ได้ใกล้เคียงเลยครับ (Ceci : เป็นพวกเพอเฟคชั่นนิสรึเปล่าเนี่ย) จะว่าอย่างงั้นก็ได้ครับ แต่เพราะมันเป็น(อัลบั้ม)ของผมนี่ และก็โซโล่อัลบั้มมีชื่ออยู่ในฐานะโปรดิวเซอร์ด้วย ทำให้รู้สึกถึงความรับผิดชอบเท่าฐานะ(ตำแหน่งโปรดิวเซอร์)ด้วยครับ

Ceci : ต่อให้เป็นคนที่มีความทะเยอะทะยานสูง แต่คนที่จะทำได้แบบนี้มีไม่เยอะนะ


ด้วยตารางงานที่เหมือนแข่งขันกันเข้ามายิ่งทำได้ยากครับ ถึงแม้ว่าผมจะคิดเองคนเดียว ลองสร้างคนเดียว และประกอบมันขึ้นมาคนเดียว แต่มันไม่ใช่งานของผมคนเดียวเท่านั้นครับ ผมเอนจอยกับขั้นตอนเหล่านั้นมากครับ แต่ว่าตอนที่ต้องผ่านขั้นตอนการปรับเสียงไปให้ได้นั้น คือตอนที่ต้องทำงานร่วมกับคนอื่นเท่านั้นครับ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ดีหรือไม่ดีนั้น ผมพอใจกับมันครับ ในเมื่อมีคนที่พกพรสวรรค์นี้มาแต่เกิด ก็มีคนที่พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้ยินคำว่า “มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิด” เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ ผมเหมือนจะเป็นคนที่สองนะครับ

Ceci : ถ้าอยากแสดงอีกครั้ง บทบาทแบบไหนที่อยากได้รับ 


บทตัวร้ายก็ไม่เลวนะครับ ไม่ใช่ตัวร้ายเลวสกปรกนะครับ ออกแนวฉลาดแกมโกง พูดตามตรงอยากลองแสดงบทบาทแบบนั้นบ้างก็จริง แต่ยิ่งกว่าบทบาทนั้น ก่อนที่จะแก่ไปมากกว่านี้อยากลองท้าทายกับบทบาทวัยรุ่นใส่ชุดนักเรียนด้วยครับ บทตัวร้ายเป็นความทะเยอทะยานส่วนตัวของผมเองครับ 

Ceci : ปี 2015 ในปีนี้มีแพลนอะไรบ้าง


ทุกปี อยากแสดงภาพยนต์ปีละเรื่อง และก็ปล่อยอัลบั้มโซโล่ปีละอัลบั้ม (หัวเราะ) ส่วนตัวแล้ว ขอให้ 2PM ไปได้ดี เมมเบอร์ทั้งหลายมีสุขภาพที่ดีด้วยก็จะดีมากครับ

TH trans by _sowon211
ขออภัยล่วงหน้าหากมีแปลผิดพลาด
ที่มา http://mnbmagazine.joins.com/magazine/Narticle.asp?magazine=201&articleId=1LQ8OG2RSA6YZQ

(แปล Blog) สถิติปี 2014 ของนิชคุณ



"นิชคุณ!!! ในปี 2014 ขึ้นเครื่องบินไปไหนบ้าง"

ในปี 2014 นิชคุณขึ้นเครื่องบินอย่างน้อยประมาณ 90 ครั้ง แวะไป 8 ประเทศ 27 เมือง
เดินทางประมาณ 195,540กิโลเมตร, ใช้เวลาบนเครื่องบิน 287ชั่วโมง 27นาที

ระยะทางที่นิชคุณเดินทางด้วยเครื่องบินนั้น สามารถนับได้ว่าเดินทางรอบโลกประมาณ 4.88รอบ
ถ้านับว่าจะเดินทางไปดวงจันทร์ก็สามารถเดินทางไปได้ประมาณครึ่งทางเลยทีเดียว

ในปี 2014ที่ผ่านมา 1 ปี นิชคุณเคยเดินทางไป 3 ประเทศภายใน 1 วัน ประมาณ 2 ครั้ง
และเดินผ่านตม.ประมาณ 6 ครั้งภายในวันเดียว

นิชคุณเคยเดินทางไป 3 ประเทศภายใน 1 สัปดาห์ประมาณ 12 ครั้ง

**ฉันนับจากการเดินทางไปทำงานของเขา นี่ยังไม่นับการเดินทางที่ไม่ได้เป็นตารางงาน,
และตารางงานปิดอีก ถ้านับรวมเข้าไปก็คงจะสูงกว่าสถิติที่กล่าวมามากเลย

"นิชคุณ ผู้ซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ทั้งหมด 18 แบรนด์ในปี 2014"

ในปี 2014 นิชคุณเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ทั้งหมด 18 แบรนด์,
ในจำนวนนั้น 14 อันเป็นโฆษณาที่เป็นงานเดี่ยวของนิชคุณไม่ใช่พรีเซนเตอร์กลุ่ม

สำหรับกิจกรรมการเป็นพรีเซนเตอร์ของนิชคุณนั้นแบ่งประเทศเป็น
เกาหลี 7 อัน, ไทย 6 อัน, จีน 6 อัน และฟิลิปปินส์ 1 อัน


*สำหรับอิสกินและไก่เพรีคาน่า เป็นพรีเซนเตอร์ 2 ประเทศ
*มีสัญญาของบางแบรนด์จบลงในปี 2014 นี้ บ้างก็จบลงปลายปี 2014 ฉันนับไปด้วย เพราะถือว่าเป็นกิจกรรมที่ทำระหว่างปี 2014

ในปี 2014 มีแบรนด์ใหม่ที่นิชคุณเป็นพรีเซนเตอร์ทั้งหมด 10 อัน ประกอบด้วย
ในจีน 6 อัน, ในเกาหลี 3 อัน, และใบประเทศไทย 2 อัน (นับไก่แยกประเทศ)


"นิชคุณผู้ซึ่งออกรายการวาไรตี้แล้วได้งานเซ็นสัญญาโฆษณาตามมา"

นิชคุณได้ปรากฎตัวที่รายการ Cool kiz on the block ตอนแบดมินตัน
หลังจากนั้น นิชคุณก็ได้เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ Yonex 
แบรนด์ซึ่งใช้นักกีฬาดังๆ และไม่เคยใช้ดารามาเป็นพรีเซนเตอร์มาก่อน


ด้วยเหตุนี้ นิชคุณได้เป็นพรีเซนเตอร์เดี่ยวแบรนด์เสื้อผ้าใน 3 ประเทศ เกาหลี จีน และ ฟิลิปปินส์

"ในปี 2014 นิชคุณแวะปรากฎตัวในละครของญี่ปุ่นและจีน ถ้างั้น เกาหลีล่ะ T^T"

เริ่มต้นกับละครเรื่องคินดะอิจิ คินดะอิจิกับคดีฆาตกรรมปริศนา ตอนคดีฆาตกรรมในโรงเรียนกวดวิชาโกะกุมง
นิชคุณรับบทเป็นวัยรุ่นใสๆผู้อ่อนแอ ทันทีที่ปรากฎตัวในละครก็ขึ้นเทรนที่เว็บ Yahoo สูงสุดอันดับที่ 3

ต่อมาก็เริ่มถ่ายทำละครของประเทศจีนเรื่อง One and Half Summer 
ซึ่งตอนนี้ในเว็ปออนไลน์ของประเทศจีน สถิติผู้เข้าชมของเว็ป Youku ประมาณ 176,000,000 views
QQ ประมาณ 135,000,000 views, IQIYI ประมาณ 96,000,000 views,
Tudou ประมาณ 28,000,000 views หากนำสถิติของทั้ง 4 เว็ปมารวมกันจะได้สถิติผู้เข้าชมทั้งหมดรวมกัน
435,000,000 views เลยทีเดียว


ทันทีที่ละครฉายในโทรทัศน์ ละครเรื่องนี้ก็ครอบครองอันดับหนึ่งจากเว็ป Todou และ Youku
และนิชคุณก็ขึ้นชาร์ทอันดับหนึ่งของเว็ปไซต์จัดอันดับชื่อดังของจีนอย่าง Vlinkage ด้วย

นิชคุณถ่ายทำละครพิเศษที่เป็นการจับมือกันระหว่างเกาหลีและจีน Looking for Aurora
ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2014 จนถึงวันที่ 2 กันยายน เป็นเวลา 56 วัน (มีแพลนออกอากาสในปี 2015นี้)


"นิชคุณถ่ายนิตยสาร ของเกาหลี จีน ญี่ปุ่น และไทย รวมกัน 17 อัน"

ในปี 2014 นิชคุณปรากฎตัวในนิตยสารของเกาหลี (3อัน) จีน(4อัน) ญี่ปุ่น(9อัน) ไทย(1อัน)
นิชคุณปรากฎตัวในนิตรสารจีนในฐานะโมเดลเดี่ยวทั้งหมด 3 อัน,
และมีการถ่ายนิตยสารเดินทางของเกาหลีด้วย


"ในปี 2014 ส่วนใหญ่ถ่ายทำรายการวาไรตี้ของประเทศจีน"

ในวันที่ 14 มิถุนายน รายการวาไรตี้ที่โด่งดังของจีน Happy Camp ตอนที่นิชคุณเข้าร่วมถ่ายทำด้วย ครอบครองเรตติ้งอันดับ 1 ทั่วทั้งประเทศจีนทันทีที่ออกอากาศ

และยังไปเป็นเกสต์พิเศษของรายการ Super Star China และเป็นพิธีกรพิเศษเรียลลิตี้ Perhaps Love ด้วย
และรายการวาไรตี้ ณ ปัจจุบัน Brave Heart ซึ่งครอบครองอันดับ 3 ติดต่อกัน 3 สัปดาห์
และเป็นสถิติเรทติ้งที่เยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของรายการวาไรตี้ของ Beijing TV อีกด้วย

นอกเหนือจากนี้ นิชคุณในปี 2014 มีอัลบั้มเต็มที่เกาหลี 1 อัลบั้ม
และวางขายอัลบั้มเต็ม 1 อัลบั้ม และ 1 ซิงเกิ้ลในญี่ปุ่น (ในฐานะ 2PM)
ทัวร์อารีน่า 15 รอบ คอนเสิร์ตเคป๊อบ(รวมศิลปิน)อีก 8 รอบ
JYPnation Concert 7 รอบ และ 2PM World Tour อีก 9 รอบ


TH Trans by _sowon211
ที่มา http://m.blog.naver.com/jinnijinn/220226166271
Special Thanks to Janyanis สำหรับการแปลชื่อละครญี่ปุ่น และ AyameMay และ คุณ Yokexiaoyu สำหรับการแปลชื่อรายการวาไรตี้ของจีน

ขออภัยเรื่องการแปลตัวเลขผู้เข้าชมละครออนไลน์ผิดพลาดไปค่อนข้างมาก
แก้ไขให้ถูกต้องแล้วค่ะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันค่ะ นิชคุณทำงานหนักมากในปีที่ผ่านมาจริงๆ ^^